บริษัทผู้ผลิตถุงลมนิรภัยรายใหญ่ของญี่ปุ่น “ทาคาตะ” ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ในฐานะล้มละลายแล้วในวันนี้ หลังต้องเผชิญกับวิกฤตค่าเสียหายจากการเรียกคืน ถุงลมนิรภัยที่ทำงานไม่ได้มาตรฐานกว่า 100 ล้านชิ้น ทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทางบริษัทระบุว่า การขอความคุ้มครองการล้มละลายครั้งนี้ เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้บริษัทสามารถผลิตถุงลมนิรภัยต่อไปได้ เพื่อทดแทนถุงลมนิรภัยที่มีการเรียกคืนสินค้าครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 17 คน บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 180 คน

ทาคาตะเเถลงว่า บริษัทได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลแขวงโตเกียว และจะขอความช่วยเหลือทางการเงิน 1,588 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 54,000 ล้านบาท จากคีย์ เซฟตี้ ซิสเท็มส์ (KSS) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ของสหรัฐที่เป็นกิจการของจีน ซึ่งตกลงจะซื้อกิจการของทาคาตะ
โดย KSS ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทหนิงโป จอยสัน อิเล็กทรอนิกส์ ในจีน เตรียมเข้าครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดของทาคาตะที่มีมูลค่าประมาณ 1,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 55,300 ล้านบาท ) โดยยกเว้นในส่วนของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับถุงลมนิรภัย อีกทั้งยังจะรักษาพนักงานส่วนหนึ่งไว้จากที่มีทั้งหมดอยู่กว่า 60,000 คน เเละไม่ปิดโรงงานในประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ การยื่นเอกสารต่อศาลในกรุงโตเกียวมีขึ้นหลังทาคาตะในสหรัฐ ยื่นคำร้องขอรับการพิทักษ์ทรัพย์จากศาล ตามมาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลายสหรัฐ พร้อมกับหนี้สินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 339,363 ล้านบาท)
ขณะที่สาขาของทาคาตะในต่างประเทศทั้งหมดของทาคาตะอีก 12 แห่ง ก็กำลังเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายในประเทศนั้นเช่นกัน
สำหรับปัญหาที่นำมาสู่การล้มละลายดังกล่าวเกิดจากเหตุถุงลมนิรภัยของทาคาตะมีปัญหาจากตัวสูบลมระเบิดทำให้วัตถุมีคมแตกกระจายในห้องรถโดยสารและถูกโยงว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 รายทั่วโลก จึงต้องเรียกคืนถุงลมนิรภัยกว่า 100 ล้านชิ้น ทาคาตะเพิ่งยอมรับเมื่อเดือนมราคมปีนี้ว่า ปกปิดเรื่องถุงลมนิรภัยมีปัญหามานานถึง 15 ปี ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของทาคาตะร่วงลงอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทต่อไปได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : prachachat.net